ความหนาของสีพื้นกับความเชื่อผิดๆล่าสุด!!

ความเชื่อเกี่ยวกับความหนาของสีพื้นกับความสามารถสะท้อนรังสี UV ที่ผิดๆ

UV

ขึ้นชื่อว่าประเทศแถบเมืองร้อนแล้ว แน่นอนละครับว่าหลายๆ ท่านต้องนึกถึงสถานที่ที่มีแสงแดดร้อนแรง และรังสียูวีที่เข้มข้น ซึ่งประเทศไทยของเราก็เป็นประเทศที่จัดอยู่ในแถบร้อนชื้น และเชื่อว่าบ้านหรือสำนักงานหลายๆ ที่ ก็นิยมติดเครื่องปรับอากาศเพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้นดังกล่าว แต่ก็ต้องแลกมาซึ่งค่าไฟที่สูงตามมา ในหลายๆ ที่จึงนิยมหาวัสดุกันความร้อนมาติดตั้ง รวมไปถึงสีทาพื้นที่สามารถสะท้อนรังสี UV เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน แน่นอนละครับว่า บ่อยครั้งที่จะได้ยินเจ้าของสถานที่บางคนนิยมให้ช่างทาสีพื้น ทาสีพื้นสะท้อนรังสี UV ให้หนาๆ เข้าไว้ โดยเชื่อว่ายิ่งหนาเท่าไหร่ยิ่งสะท้อนได้เยอะขึ้นและดีขึ้นเท่านั้น และแน่นอนครับวันนี้ Admin ขอนำงานวิจัยของนักวิจัยไทยมาไขข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่ง Admin มีความชื่นชอบในผลงานชิ้นนี้มากจึงอยากจะหยิบยกมาให้หลายๆ ท่านได้ลองอ่านดู แล้วจะพบว่า นักวิจัยไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก
สำหรับงานวิจัยนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยเป็นผลงานของคุณณฐิตา เหมะวิริยาพรวัฒนา และคณาจารย์จากสาขาวิชาเทคโนโลยีวัสดุ คณะสิ่งแวดล้อมวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งได้ทำการศึกษาถึงอิทธิพลความหนาผิวเคลือบพอลิยูริเทนและปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ ในผิวเคลือบที่มีต่อการสะท้อนรังสีอาทิตย์ และการยึดเกาะของแผ่นวัสดุยางธรรมชาติผสมขี้เลื่อยไม้** ซึ่งจากงานวิจัยครั้งนั้น คณะวิจัยได้ทำการเคลือบผิวพอลิยูริเทนและปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ที่ระดับของปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ที่แตกต่างกัน ดังตารางที่ 1

 

ตารางที่ 1 ค่าการสะท้อนรังสีอาทิตย์ของผิวเคลือบพอลิยูริเทนที่ปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ที่แตกต่างกัน

ค่าการสะท้อนรังสีอาทิตย์ของผิวเคลือบพอลิยูรีเทนที่มีผงไททาเนียมไดออกไชด์

จากตารางที่ 1 พบว่าการเติมผงไททาเนียมไดออกไซด์ ที่ปริมาณต่างๆ ดังนี้ 1, 3, 5, 7, 9, และ 15ส่วน ต่อน้ำหนักสารพอลิยูริเทน 100 ส่วน พบว่าเมื่อเพิ่มปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ ค่าการสะท้อนรังสีอาทิตย์ของผิวเคลือบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้ความหนาแน่นของสารเคลือบเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ระยะห่างระหว่างผงไททาเนียมไดออกไซด์ลดลง เป็นผลให้ระยะทางในการส่องผ่านของรังสีสั้นลง ทำให้รังสีสามารถเลี้ยวเบน และหักเหออกจากสารเคลือบได้มากกว่าที่ความลึกเท่ากัน (วัลลภ, 2549)
นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังได้ทำการศึกษาถึงระดับความหนาของผิวเคลือบพอลิยูริเทน ที่ความหนาต่างๆ ดังนี้ 130, 150, 200, 250 และ 300 ไมครอน โดยเลือกปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ที่ 15 ส่วน ต่อน้ำหนักสารพอลิยูริเทน 100 ส่วน ศึกษาความหนาของผิวเคลือบพอลิยูริเทนที่เติมผงไททาเนียมไดออกไซด์ กับไม่เติมผงไททาเนียมไดออกไซด์ พบว่าการเติมผงไททาเนียมไดออกไซด์ทำให้ความหนาเพิ่มขึ้น แสดงในรูปที่ 1

ผลของจำนวนครั้งในการเคลือบผิวพอลิยูริเทน

รูปที่ 1 ผลของจำนวนครั้งในการเคลือบผิวพอลิยูริเทนมีผง TiO2 ที่มีต่อความหนาผิวเคลือบชิ้นงานยาง

 

และเมื่อตรวจสอบการสะท้อนรังสีอาทิตย์ของผิวเคลือบพอลิยูริเทน ที่ความหนาดังนี้ 130, 150, 200, 250 และ 300ไมครอน โดยเติมผงไททาเนียมไดออกไซด์ที่ปริมาณ 15 ส่วน ต่อน้ำหนักสารพอลิยูริเทน 100 ส่วน ดังแสดงในตารางที่ 2 พบว่าความหนาผิวเคลือบพอลิยูริเทน ที่เพิ่มขึ้นไม่ส่งผลต่อค่าการสะท้อนรังสีอาทิตย์
เนื่องจากรังสีไม่สามารถส่องผ่านผิวเคลือบได้ ทำให้รังสีตกกระทบเกิดการดูดกลืน และมีการสะท้อนหักเหของรังสี (Hong and Xiu, 2001) จึงไม่มีรังสีที่ทะลุผ่านไปถึงแผ่นยาง ดังนั้นความหนาจึงไม่มีผลต่อการสะท้อน (อนุสรา, 2545)

 

ตารางที่ 2 ค่าสะท้อนรังสีอาทิตย์ของผิวเคลือบพอลิยูริเทนที่มีผง TiO2 ที่มีต่อความหนาผิวเคลือบ

ค่าสะท้อนรังสีอาทิตย์ของผิวเคลือบพอลิยูริเทนที่มีผง-TiO2-ที่มีต่อความหนาผิวเคลือบ

จากงานวิจัยชิ้นนี้ Admin จะขอเพิ่มเต็มข้อสังเกตุที่ได้พบคือ จริงๆแล้วความหนาของสีที่ใช้ไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญอะไรเลยในเรื่องของการสะท้อนรังสี ซึ่งจากประสบการณ์ตรงแล้วพบว่าความหนาของสีที่ใช้ส่งผลโดยตรง(อย่างมาก) กับราคาที่ต้องจ่าย ดังนั้นก่อนการเลือกใช้ชนิดของสีและรูปแต่ละรูปแบบควรหาข้อมูลให้ลึกซึ้งก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ด้วยความปรารถนาดีจาก Admin และทีมงาน VICEPOXY
ขอขอบคุณงานวิจัยดีๆ จากทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และคณาจารย์จากสาขาวิชาเทคโนโลยีวัสดุ คณะสิ่งแวดล้อมวัสดุ ที่สรรสร้างผลงานดีๆ ให้แก่แวดวงอุตสาหกรรมและประชาชนทั่วไปได้ศึกษากัน
ที่มา :
ณฐิตา เหมะวิริยาพรวัฒนา (Natita Hamaviriyapornwattana)* อิทธิพลความหนาผิวเคลือบพอลิยูริเทนและปริมาณผงไททาเนียมไดออกไซด์ ในผิวเคลือบที่มีต่อการสะท้อนรังสีอาทิตย์ และการยึดเกาะของแผ่นวัสดุยางธรรมชาติผสมขี้เลื่อยไม้ Effects of Coating Thickness and TiO2 dosage in Polyurethane Coating on Solar Reflective Index and Adhesion of Wood-Natural Rubber Sheet
* มหาบัณฑิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีวัสดุ คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าธนบุรี

GMP และ HACCP กับระบบสีพื้น Epoxy

สีพื้น Epoxy กับระบบ GMP และ HACCP
          GMP ก็คือ หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร พอมาถึงขั้นนี้ Admin เชื่อว่าหลายๆ คนคงตั้งข้อสงสัยว่าแล้ว GMP เกี่ยวอะไรกับพื้น Epoxy ของโรงงาน ซึ่งแน่นอนละครับ เกี่ยวข้องกันโดยตรงเลย โดยจัดอยู่ในข้อแรกๆ ของข้อบังคับ GMP ว่าด้วยเรื่องมาตรการป้องกันการปนเปื้อนอันตรายทั้งทางด้านจุลินทรีย์ เคมี และกายภาพ ลงสู่ผลิตภัณฑ์ในแง่ของสถานที่ตั้งและอาคารผลิต (ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป) ดังนั้น Admin จึงเชื่อว่าการนำบทความดีๆ เกี่ยวกับ GMP มาเผยแพร่ คงเป็นประโยชน์แก่หลายๆ คนไม่มากก็น้อย
          สำหรับ GMP ของบ้านเราที่นำมาเป็นมาตรการบังคับใช้เป็นกฎหมายนั้น ได้นำแนวทางข้อกำหนดเป็นไปตาม Codex ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสากล แต่มีการปรับรายละเอียดบางประเด็นหรือเป็นการปรับให้ง่ายขึ้น (Simplify) เพื่อให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้ผลิตอาหารภายในประเทศ ซึ่งสามารถปฏิบัติได้จริง แต่ยังมีข้อกำหนดที่เป็นหลักการที่สำคัญเหมือนกับของ Codex แต่สามารถนำไปใช้ได้กับสถานประกอบการทุกขนาด ทุกประเภท ทุกผลิตภัณฑ์ ตามสภาพการณ์ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนามาตรฐานสูง ขึ้นมาจากหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐาน (Minimum Requirement) ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาใช้ในการพิจารณาอนุญาตผลิตเป็นเกณฑ์ ซึ่งทั้งผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่รู้จักคุ้นเคยกันดีและปฏิบัติกันอยู่แล้วเพียงแต่จะต้องมีการปฏิบัติในรายละเอียดบางประเด็นที่เคร่งครัดและจริงจังมากขึ้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า GMP สุขลักษณะทั่วไปนี้ผู้ประกอบการสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ ในขณะที่กฎระเบียบข้อบังคับของหลักการสำคัญก็มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล

GMP&HACCP

          ข้อกำหนด GMP สุขลักษณะทั่วไป

ข้อกำหนด GMP สุขลักษณะทั่วไป มีอยู่ 6 ข้อกำหนด ดังนี้

  • 1. สถานที่ตั้งและอาคารผลิต
  • 2. เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ในการผลิต
  • 3. การควบคุมกระบวนการผลิต
  • 4. การสุขาภิบาล
  • 5. การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด
  • 6. บุคลากรและสุขลักษณะ

          ในแต่ละข้อกำหนดมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ผู้ผลิตมีมาตรการป้องกันการปนเปื้อนอันตรายทั้งทางด้านจุลินทรีย์ เคมี และกายภาพ ลงสู่ผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจมาจากสิ่งแวดล้อม ตัวอาคารเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้
          นอกจาก GMP กฎหมายดังกล่าวข้างต้น กรณีผู้ผลิตจะจัดทำระบบ GMP ให้เทียบเท่าสากลเพื่อการส่งออกหรือเพื่อพัฒนาระบบให้สูงขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่ระบบ HACCP นั้น ก็สามารถดำเนินการตามมาตรฐาน codex(General Principle of Food Hygiene) ซึ่งขณะนี้ประเทศไทย ได้รับมาประกาศใช้เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 7000-2540) แล้ว ซึ่งมีหัวข้อสำคัญๆ ดังนี้

  • 1. การออกแบบและสิ่งอำนวยความสะดวก
  • 2. การควบคุมการปฏิบัติงาน
  • 3. การบำรุงรักษาและการสุขาภิบาล
  • 4. สุขลักษณะส่วนบุคคล
  • 5. การขนส่ง
  • 6. ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภค
  • 7. การฝึกอบรม

          รายละเอียดของแต่ละข้อกำหนดสามารถเข้า website สมอ. www.tisi.go.th

          นอกจากระบบ GMP แล้วยังมีระบบคุณภาพอาหารที่สูงขึ้นไปอีกก็คือ ระบบวิเคราะห์อันตรายและควบคุมจุดวิกฤต (HACCP: Hazard Analysis and CriticalConrtol Point) ซึ่งการที่ผู้ผลิตจะดำเนินการจัดทำระบบนี้ต้องมีพื้นฐานในเรื่องระบบ GMP ที่ดีเสียก่อน ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจกับระบบนี้ด้วย ซึ่งในปัจจุบันหลายประเทศเริ่มกำหนดกฎหมายบังคับให้ผู้ประกอบการต้องนำระบบ HACCP มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่อาหารที่ผลิตขึ้น และในปี 2540 องค์การมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (Codex) ร่วมกับ เอฟ เอ โอ/ดับบลิว เอช โอ (FAO/WHO) ประกาศใช้ข้อแนะนำสำหรับการนำระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (Codex Alimentarius Supplement to Volume 1B-1997; Annex to CAC/RCP-1 (1969), Rev.3 (1997) : Hazard Analysis and Critical Control Point (HACCP) System and Guidelines for itsApplication) เป็นข้อกำหนดสากลโดยรวมหลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับสุขลักษณะอาหาร (RecommendationCodex Code of Practices : General Principle for Food Hygiene) เป็นโปรแกรมพื้นฐานที่ต้องดำเนินการ

          หลักการของระบบ HACCP
          หลักการของระบบ HACCP ครอบคลุมถึงการป้องกันปัญหาจากอันตราย 3 สาเหตุ ได้แก่ อันตรายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นอันตรายจากเชื้อจุลินทรีย์ อันตรายจากสารเคมี ได้แก่ สารเคมีที่ใช้ในการเพาะเลี้ยง เพาะปลูก ในกระบวนการผลิตวัตถุดิบ อาทิ สารปฏิชีวนะ สารเร่งการเจริญเติบโต สารเคมีกำจัดศัตรูพืช สารเคมีที่ใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหาร เช่น วัตถุกันเสีย และสารเคมีที่ใช้ในโรงงาน เช่น น้ำมันหล่อลื่น จาระบี สารเคมีทำความสะอาดเครื่องจักรอุปกรณ์ในโรงงาน เป็นต้น และอันตรายทางกายภาพสิ่งปลอมปนต่างๆ อาทิ เศษแก้ว เศษกระจก โลหะอันตรายทางชีวภาพเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดในระบบ HACCP เนื่องจากอันตรายประเภทอื่นมีขอบเขตการก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้บริโภคในวงจำกัด และบางครั้งผู้บริโภคสามารถตรวจพบได้ด้วยตัวเอง แต่การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนด้วยจุลินทรีย์นั้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยแพร่หลายและพิษที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงจนถึงชีวิตได้ระบบ HACCP เกี่ยวข้องกับการควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ วัตถุประสงค์ของการใช้ระบบ HACCP เพื่อให้สามารถพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้น ได้ผลิตขึ้นอย่างถูกสุขลักษณะและปลอดภัยต่อผู้บริโภค และการประยุกต์ใช้หลักการHACCP อย่างได้ผล ขึ้นกับการมุ่งมั่นและสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร ความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆในองค์กรและที่สำคัญยิ่ง คือ การที่หน่วยงานนั้นๆต้องมีการจัดทำระบบพื้นฐานเกี่ยวกับสุขลักษณะโรงงานเสียก่อนระบบ HACCP สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับกับอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภทและทุกขนาดธุรกิจ ทั้งกับกระบวนการผลิตที่เรียบง่ายและซับซ้อน โดยสามารถจะนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ทำการผลิตแล้วหรือที่จะเริ่มทำการผลิต
          ระบบ HACCP ประกอบด้วยหลักการ 7 ข้อ ดังนี้

    • 1. ดำเนินการวิเคราะห์อันตราย (Conduct a hazard analysis)
    • 2. หาจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (Determine the critical control point CCPs)
    • 3. กำหนดค่าวิกฤต (Establish critical limit)
    • 4. กำหนดระบบเพื่อเฝ้าระวังจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (Establish a system to monitor control of the CCP)
    • 5. กำหนดวิธีแก้ไข เมื่อตรวจพบว่าจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุม (Establish the corrective action to be taken when onitoring indicates that aparticular CCP is not under control)
    • 6. กำหนดการทวนสอบเพื่อยืนยันประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบ HACCP
    • (Establish procedures for verification to confirm that the HACCP system is working effectively)
    • 7. กำหนดเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวิธีการปฏิบัติและบันทึกข้อมูลต่างๆที่เหมาะสม ตามหลักการเหล่านี้ และการประยุกต์ใช้ (Establish documentation concerning al procedures and records appropriate to these principles and their application)

          การจัดทำระบบคุณภาพ บางครั้งผู้ผลิตสามารถนำหลักการจัดการ (Management) และ ระบบเอกสาร (Document) เข้ามาเสริมเพื่อให้สามารถป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอาหารที่ผลิต และสามารถมีระบบเอกสารที่สามารถทวนสอบปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง

Epoxy Heavy Duty Floors

Epoxy Heavy-Duty Floors

Epoxy Heavy Duty Floorsใช้ในการเคลือบสีพื้นอุตสาหกรรมหนัก สำหรับปกป้องพื้นผิวชั้นสูงสุด ทนทานต่อการละลาย กรด-เบส สารเคมี น้ำมัน และน้ำได้ดีเยี่ยม สามารถใช้ได้ในช่วงอุณภูมิ 40 ถึง 70 องศาเซลเซส ทนต่อแสง UV
Epoxy Heavy Duty Floors_01

พื้นที่ใช้งาน

  • พื้นที่สำหรับรถโฟกล์ฟวิ่ง
  • ลานโหลดของ
  • พื้นโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้งานหลัก
  • โรงงานผลิตรถยนต์
  • Garage Floor
  • Show room Floor
  • Chemical Resistance

คุณสมบัติพิเศษ

  • มีความสวยงามและคงทน
  • ทนทานต่อการใช้งานหนัก
  • ป้องกันการแตกร้าวของพื้นผิว
  • ทนต่อแรงกระแทก
  • ทนทานต่อไอของกรดและเบสได้ดีเยี่ยม
  • ทนทานต่อสารละลายได้ดีเยี่ยม
  • ทนทานต่อสารเคมีและน้ำมันได้ดีเยี่ยม
  • ทนทานต่อแสง UV       ได้ดีเยี่ยม
  • มีความยืดหยุ่นสูง

เทพื้น Epoxy: Non-Slip Floors

เทพื้น Epoxy: Non-Slip Floors

เทพื้น Epoxy เพื่อป้องกันการลื่นไถล(Non-Slip Floors) เหมาะกับพื้นทางเดิน ภายในสวนที่มีน้ำขังและคราบน้ำมัน หรือเรียกอีกอย่างว่า safety Floor ที่เป็นไปตามมาตรฐาน OHSA
Epoxy SL
พื้นที่ใช้งาน

  1. ทางเดินภานในอาคาร
  2. พื้นบันไดทางขึ้นลง
  3. โรงงานที่มีปัญหาเรื่องทางลื่น
  4. พื้นที่มีน้ำตลอดเวลา
  5. พื้นที่มีคราบน้ำมันตลอดเวลา

คุณสมบัติพิเศษ

  1. ป้องกันการลื่นไกลได้ดีเยี่ยม
  2. พื้นที่มีความปลอดภัยในการใช้งาน
  3. ทนต่อการขีดข่วนได้ดี
  4. พื้นมีความสวยงาม หลากหลายสีสัน

การเคลือบพื้นPU-LF

การเคลือบพื้นPU-LF         

การเคลือบพื้นPU-LF คือการเคลือบสีพื้น PU ที่มีความหนา ๅ1.5-2.0 มิลลิเมตร ระบบเหมาะสมสำหรับการใช้งานเบาที่ไม่ต้องการการรับโหลด แต่ต้องการความทนทานต่อสารเคมี กรด-เบสและสารละลายได้ดี สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคที่เรียเหมาะสมหรับเคลือบพื้นในงานอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร และเครื่องสำอางค์ที่มีความชื้นและต้องการมาตรฐาน GMP, HACCP, FDA
Epoxy SL
พื้นทีใช้งาน

  1. โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
  2. โรงงานอุตสาหกรรมเกษตร
  3. โรงงานอุตสาหกรรมเวชกรรมและเครื่องสำอางค์
  4. โรงงานอุตสาหกรรมยา
  5. ห้องเย็น
  6. ห้องLab/ห้องทดลอง
  7. อุตสาหกรรมเคมี

คุณสมบัติพิเศษ

  1. มีความทนทานต่อการใช้งานสูง
  2. มีความทนทานต่อความชื้นและน้ำ
  3. มีความทนทานต่อสารเคมีสูง
  4. มีความทนทานต่อกรด-เบสสูง
  5. มีความทนทานต่อสารละลาย
  6. ยับยั่งการเจริญเติบโตของแบคที่เรียและเชื้อรา
  7. ทดต่อการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิ 40 – 130 องศาเซลเซส
  8. เป็นวัสดุเป็นไปตามมาตรฐาน GMP , HACCP ,FDA

ทาสีพื้นPU-MF

ทาสีพื้นPU-MF

ทาสีพื้นPU-MF คือการเคลือบพื้นด้วยสีพื้นPU ที่ความหนา 3-4 mm ระบบเหมาะสมสำหรับการใช้งานปานกลางไจนถึงหนักหนัก ทนทานต่อสารเคมี กรด-เบสและสารละลายได้ดี สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคที่เรียเหมาะสมหรับเคลือบพื้นในงานอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร และเครื่องสำอางค์ที่มีความชื้นและต้องการมาตรฐาน GMP, HACCP, FDA
Epoxy SL
พื้นทีใช้งาน

  1. โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
  2. โรงงานอุตสาหกรรมเกษตร
  3. โรงงานอุตสาหกรรมเวชกรรมและเครื่องสำอางค์
  4. โรงงานอุตสาหกรรมยา
  5. ห้องเย็น
  6. ห้องLab/ห้องทดลอง
  7. อุตสาหกรรมเคมี

คุณสมบัติพิเศษ

  1. มีความทนทานต่อการใช้งานสูง
  2. มีความทนทานต่อความชื้นและน้ำ
  3. มีความทนทานต่อสารเคมีสูง
  4. มีความทนทานต่อกรด-เบสสูง
  5. มีความทนทานต่อสารละลาย
  6. ยับยั่งการเจริญเติบโตของแบคที่เรียและเชื้อรา
  7. ทดต่อการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิ 40 – 130 องศาเซลเซส
  8. เป็นวัสดุเป็นไปตามมาตรฐาน GMP , HACCP ,FDA

พื้นPU-HF (High Film Build Polyurethane)

พื้นPU-HF, High Film Build Polyurethane

พื้นPU-HF คือพื้นพียูทีทำการการเคลือบพื้นที่ความหนา 5-10 mm ระบบระบบออกแบบมาสำหรับการใช้งานพื้นที่ต้อการรับโหลดน้ำหนักสูง และสภาการใช้งานหนัก เช่น  สารเคมี กรด-เบสความเข้มข้นสูงและสารละลายต่างๆ พื้นPU-HF สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคที่เรียได้ดี เน่ืองจากที่ฟิล์มสีมีสารพิเศษอยู่ นั่นจึสำคัญที่ลูกค้ากลุ่มพื้นในงานอุตสาหกรรมอาหาร ยา เวชกรรม การเกษตร และเครื่องสำอางค์เลือกใช้งานมัน ความชื้นและต้องการมาตรฐาน GMP, HACCP, FDA

พื้นPU_01

พื้นทีใช้งาน

  1. โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
  2. โรงงานอุตสาหกรรมเกษตร
  3. โรงงานอุตสาหกรรมเวชกรรมและเครื่องสำอางค์
  4. โรงงานอุตสาหกรรมยา
  5. ห้องเย็น
  6. ห้องLab/ห้องทดลอง
  7. อุตสาหกรรมเคมี

คุณสมบัติพิเศษ

  1. มีความทนทานต่อการใช้งานสูง
  2. มีความทนทานต่อความชื้นและน้ำ
  3. มีความทนทานต่อสารเคมีสูง
  4. มีความทนทานต่อกรด-เบสสูง
  5. มีความทนทานต่อสารละลาย
  6. ยับยั่งการเจริญเติบโตของแบคที่เรียและเชื้อรา
  7. ทดต่อการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิ 40 – 130 องศาเซลเซส
  8. เป็นวัสดุเป็นไปตามมาตรฐาน GMP , HACCP ,FDA

พื้นPU-HFสามารถทำการออกแบบความหนาให้ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งทาง VIC มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับกับสินค้าตัวนี้ เราเป็นทั้ผู้ผลิต จำหน่ายและบริการเคลือบพื้นPU แบบครบวงจร ท่านลูกค้าก็จะได้ในราคาถูกลง ทีม Technical Support สามารถให้ความรู้ท่านทั้งผู้ที่เป็นลูกค้า ตัวแทนฝ่ายขายและช่างติดตั้ง

พื้นพียูมีลักษณะและวิธีการพิเศษ หากทำการเคลือบพื้นผิดวิธีหรือผิดขั้นตอน พื้นจะดีดหรือหลุดร่อนเลย หากทำถูกวิธีเราสารถเคลือบบนวัสดุได้หลายประเภท เช่น กระเบื้อง กรานิโต้ ดินเผา แต่ต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ ท่านจะประหวัดเวลาและค่าใช้จ่ายครับ

พื้นพียูแบบความหนาสูงเป็นสี 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วน A, ส่วน Bและส่วนC ซึ่งแต่ละส่วนมีองค์ประกอบทางเคมีดังนี้

ส่วน A คือสารพวกโพลียูรีเทนมีคุณสมบัติหลักของตัวผลิตภัณฑ์ เช่น ทนทานต่อความชื้น ทนทานต่อกรด ด่างและสารเคมีได้ดี

ส่วน B คือสารที่ทำให้แข็ง ต้อเก็บอย่างดีก่อนการใช้งาน

ส่วน C คือผงคอนกรีตสี ซึ่งจะมีสีให้เลือกตามต้องการ

นี่เป็นข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสีPUครับ

กันซึม: Polyurethane Waterproof Floors

Polyurethane Waterproof    Flooring        

กันซึม เป็นวัสดุเคลือบผิวประเภทPolyurethane เพื่อป้องกันการซึม ทนทานต่อแสง UV และมีความยืดหยุ่นสูงเหมาะสำรับดาดฟ้าและหลังคา Epoxy SL พื้นที่ใช้งาน

  1. ดาดฟ้าอาคารหรือโรงงาน
  2. กันซึมสระว่ายน้ำ
  3. กันซึมถังเก็บน้ำ

คุณสมบัติ

  1. กันซึมของน้ำ 100 เปอร์เซนต์
  2. ทนทานต่อแสง UV
  3. มีความยืดหยุ่นสูง
  4. มีการยึดเกาะดีเยี่ยม
  5. ทนทานต่อสารเคมี น้ำ กรด-เบส
  6. ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิได้ดี
  7. สวยงามและคงทน

Epoxy Chemistry

Epoxy ที่ใช้ในอุตสาหกรรมสารเคลือบผิวนิยมใช้ อีพ็อกซี่เรซิน โดยเฉพาะในงานการเคลือบพื้นผิวงานพื้น จัดเป็นพอลิอีเทอร์ แต่เนื่องจากมีหมู่อีพอกไซด์อยู่ในสายโซ่โมเลกุลจึงเรียก อีพอกซี และเป็นพอลิเมอร์ประเภทเทอร์โมเซต มีโครงสร้างเป็นโครงร่างตาข่ายอีพอกซีถูกเตรียมมาใช้ตั้งแต่ปี 1943 ทั้งในรูปกาวและสารเคลือบผิว ราคาค่อนข้างแพง ปัจจุบันนิยมเตรียมจากปฏิกิริยาของ 2,2-bis(4-hydroxyphenyl) propane (Bisphenol A) กับ Epichlohydrin

การสังเคราะห์ (อิพ็อกซี่ pre-polymerization)
การเตรียมอีพอกซีเรซินทำได้โดยใช้ ปริมาณ Epichlohydrin ที่มากเกินพอทำปฏิกิริยากับ Bisphenol A จะได้พอลิเมอร์ที่ปลายสายโซ่โมเลกุลเป็นหมู่อีพอกไซด์ ใข้ความร้อนประมาณ 60 oC พอลิเมอร์ที่ได้มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำประมาณ 900-3,000 เป็นอีพอกซีเรซินชนิดเหลว ปกติจะเตรียมในสภาวะที่เป็นด่างโดยการใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ อีพอกซีชนิดเหลวนี้ใช้เป็นกาว ปรกติถ้าต้องการชนิดแข็งต้องใช้ Bisphenol A มากขึ้น ทำให้โมเลกุลไกล้เคียงกับ Epichlohydrin ใช้ความร้อนมากขึ้นประมาณ 100 oC ในสภาวะที่เป็นด่างเช่นกัน อีพอกซีที่ได้จะมีโมเลกุลสูงขึ้น
Epoxy Reaction

 

Fig. 1 อีพ็อกซี่ pre-polymerization by reagent bisphenol A and Epichlorhydrin

คุณสมบัติและการนำไปใช้ประโยชน์
อีพอกซีเรซินที่เตรียมได้ไม่สามารถนำไปให้เกิดการเชื่อมโยงได้ แม้จะใช้อุณหภูมิสูงถึง 200 oC ดังนั้นเวเลานำไปใช้งานต้องใส่ตัวช่วยเชื่อมโยงลงไปด้วย ซึ่งอาจจะเป็นจำพวก tertiary amines เช่น benzyldimethylamine, triethanolamine, พวก polyfunctional amines เช่น diethylenetriamines, triethylenetetramine, พวกกรดแอนไฮไดรด์ม ฟธอลิกแอนไฮไดรด์ม pyromellitic dianhydride เป็นต้น
ตัวอย่างการเกิดปฏิกิริยาการเชื่อมโยง กรณีที่ใช้ dianhydride จะเกิดการเชื่อมโยงผ่านหมู่อีพอกไซด์ที่ปลายโมเลกุล หรือหมู่ไฮดรอกซิล ดังนี้Epoxy Polymerization

Fig. 2 อิพ็อกซี่ polymerization by reagent dianhydride and อ๊พ็อกซี่ resin

กรณีที่ใช้ Polyfunctional Amine เป็นตัวเชื่อมโยง จะเกิดการเชื่อมโยงโดยเปิดหมู่อีพอกไซด์ก่อน
Epoxy Polymerization2

Fig. 3 อิพ็อกซี่ polymerization by reagent diethyldiamine and Epoxy resin

พอลิเมอร์ที่เกิดการเชื่อมโยงเป็นโครงร่างตาข่ายแล้ว จะมีคุณสมบัติแข็งแต่ยืดหยุ่นและน่าสัมผัส การอธิบายความสัมพันธ์ของสมบัติกับโครงสร้างค่อนข้างยุ่งยากเพราะโครงสร้างซับซ้อน แต่การใช้แอนไฮไดรด์เป็นตัวเชื่อมโยงจะทำให้ทนความร้อนได้ถึง 200 oC สมบัติการเป็นฉนวนไฟฟ้าดีมาก สมบัติด้านการทนกรดทนด่างได้ดี ถ้าการใช้ Polyfunctional Amine หรือ Polyfunctional Amide จะใช้ในงานการเคลือบพื้น เพราะมีคุณสมบัติยึดหยุ่นดี ทนต่อกรด-ด่าง มีความทนทานต่อสารละลายอินทรีย์ (Solvent) ทนทานต่อสารเคมีและน้ำมันได้ดี นอกจากนี้อีพอกซีเรซินใช้ทั้งงานพลาสติกหล่อ ทำโฟมก็ได้ แต่ที่ใช้มากที่สุดคือใช้เป็นกาว ติดวัสดุต่างๆได้ดีมาก

หลักการเลือกใช้สี Epoxy และ Polyurethaneให้เหมาะสมกับงานพื้น

หลักการเลือกใช้สี Epoxy และ Polyurethaneให้เหมาะสมกับงานพื้น

          หลักการเลือกใช้สี Epoxy และ Polyurethaneให้เหมาะสมกับงานพื้น เนื่องจากในปัจจุบันพื้นโรงงานหรือพื้นสำนักงานมีความหลากหลาย เพื่อให้ตรงตามจุดวัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งพื้นบางประเภทต้องการคุณสมบัติพิเศษหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานต่างๆเช่น GMP หรือ HACCP ทาง VIC ได้จัดทำตารางเพื่อแนะนำการเลือกใช้สี Epoxy และ Polyurethane ให้เหมาะสมสำหรับงานพื้น ทั้งนี้เนื่องจากการเลือกใช้งานสีพื้นให้ตรงตามจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ท่านง่ายในการตัดสินใจใช้บริการของเรา (หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อทางฝ่ายTehnical ของเราโดยตรง เราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาก่อนการตัดสินใจ)

การเลือกใช้ชนิดสีพื้น

เรียนรู้เพิ่มเติม

Tel: 086-5154601

 

ID LINE: vic5979

 

e-mail: viccoatings@gmail.com

 

website: www.vic-coatings.com